ดอกเบี้ยทบต้นคืออะไร?
ก่อนอื่น เราต้องมาทำความรู้จักกันก่อนว่า ดอกเบี้ยทบต้น คืออะไร? หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้ผ่านหูมาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) คือ ดอกเบี้ยที่คำนวณจากเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยที่ได้รับในงวดก่อนหน้า พูดง่ายๆ ก็คือ ดอกเบี้ยที่เกิดจากผลตอบแทนจากดอกเบี้ยของเงินต้นก่อนหน้านั่นเอง โดยดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถูกสะสมรวมเข้ากับเงินต้น แล้วนำเงินก้อนใหม่นี้ไปคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไป ทำให้เงินต้นเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับการ “ทบต้น” กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ ให้คุณลองนึกภาพก้อนหิมะที่กลิ้งลงมาจากภูเขา เริ่มแรกก้อนหิมะอาจจะมีขนาดเล็ก แต่เมื่อมันกลิ้งลงมาเรื่อยๆ ก็จะเก็บสะสมหิมะตามทาง ทำให้ก้อนหิมะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับการทบต้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เงินต้นของคุณก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล จากดอกเบี้ยที่ทบกันไปเรื่อยๆ นั่นเอง
ดอกเบี้ยทบต้น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะยิ่งลงทุนนานเท่าไหร่ พลังของการทบต้นก็จะยิ่งแสดงผลชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การทำความเข้าใจหลักการของการทบต้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรให้ความสำคัญ
องค์ประกอบของดอกเบี้ยทบต้น
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า ดอกเบี้ยทบต้น นั้นทำงานอย่างไรเราก็ต้องเข้าใจองค์ประกอบของการทบต้นว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งองค์ประกอบของการทบต้นนั้นแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบนั้นคือ เวลา เงินต้น ผลตอบแทน
1.) เวลา เวลานั้นมีผลอย่างมากกับดอกเบี้ยเพราะหากเรามีเวลามากให้เงินเริ่มต้น (เงินทุนเริ่มต้น) ให้มากพอเงินของเราก็จะโตขึ้นนั้นเอง เพื่อให้เข้าใจง่ายลองดูตัวอย่างนี้
จากภาพคือ ผลตอบแทนหากเรานำเงิน 10,000 บาท ไปลงทุนระยะเวลา 10 ปี ที่ให้ผลตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีเงินของเราจะโตขึ้น ประมาณเป็น 27,000 บาท หรือโตขึ้น 2.7 เท่าเลยทีเดียว
2.) เงินต้น จากภาพตัวอย่างจากกราฟด้านบ้านจะเห็นว่าหากเรามีเงินต้นมากพอเราก็สามารถเก็บเงินล้านได้ง่ายๆเลยใช่ไหม งั้นเราลองมาคำนวณดูหากเราต้องการมีล้านแรกภายใน 10 ปี เราจะต้องใช้เงินต้นเท่าไหร่ถ้าเราลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี
จากภาพจะเห็นว่าหากเราต้องการมีล้านแรกภายใน 10 ปี โดยการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เราจะต้องใช้เงินต้องทั้งหมด 370,000 บาท จะเห็นว่าเป็นจำนวณเงินไม่น้อยเลยใช่ไหมหละ แล้วถ้าหากเราไม่ต้องการใช้เงินต้นเยอะขนาดนี้เราสามารถทำได้ไหม? คำตอบคือได้งั้นเราไปทำความรู้จักองค์ประกอบอีกตัวกันเลยดีกว่านั้นคือ ผลตอบแทน
3.) ผลตอบแทน คือ สิ่งที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ทองคำ หุ้น กองทุน บิทคอยน์ ตัวอย่างเช่น หากนำเงินไปลงทุนใน ทองคำที่ให้ผลตอบแทน 7 เปอร์เซ็นต์ต่อปี 100 บาท ผ่านไป 1 ปี เราก็จะมีเงินเพิ่มขึ้น 7 บาท คิดเป็น 7 เปอร์เซ็นต์ ของ 100 บาท เช่นเดียวกันกับการทบต้นหากเราต้องการใช้เงินต้นน้อยลงแต่ต้องการผลลัพธ์เท่าเดิมเราก็จำเป็นต้องทำให้ผลตอบแทนของเราที่ได้รับสูงขึ้นแทน หากเป้าหมายของเราเป็นล้านแรกใน 10 ปีเหมือนเดิม และ ต้องการใช้เงินต้นแค่ 100,000 บาท เราจะต้องทำผลตอบแทนให้ได้กี่เปอร์เซ็นต์ ลองคำนวณกันดู
จากภาพ กราฟนี้ถ้าต้องการมีล้านแรกใน 10 ปี จากเงินต้น 100,000 บาท ต้องทำผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 24 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเลยทีเดียว (มากพอสมควร) แต่ก็มีวิธีที่ง่ายกว่านี้ โดยการ DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือ เพิ่มเงินออมต่อเดือนในทุกๆเดือน แต่จะให้ทุกคนลองทำกันเอง ทางเว็บของ meowfunds เรามี เครื่องมือสำหรับ คำนวณดอกเบี้ยทบต้น ง่ายๆ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และทำให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง
สูตรคำนวณหาผลตอบแทนทบต้น
ในการคำนวณหา ดอกเบี้ยทบต้น นั้นก็มีหลากหลายวิธี
วิธีที่ 1 สูตรคำนวณ จากสูตรพื้นฐาน
FV = PV (1 + r)^n
โดยที่
FV (Future Value) คือ มูลค่าเงินในอนาคต ณ สิ้นงวดเวลา
เงินต้น (PV): จำนวนเงินเริ่มต้นที่คุณลงทุนหรือฝาก
อัตราดอกเบี้ย (r): อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับต่อปี (หรือต่องวด)
ระยะเวลา (n): ระยะเวลาที่เงินต้นถูกนำไปลงทุนหรือฝาก (หน่วยเป็นปี หรือตามงวดการทบต้น)
ความถี่ในการทบต้น: เช่น ทบต้นรายปี รายเดือน รายวัน (ถ้าไม่ได้ระบุ ให้ถือว่าทบต้นรายปี)
ตัวอย่าง:
สมมติว่าคุณฝากเงิน 10,000 บาท ในบัญชีเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ทบต้นรายปี เป็นเวลา 3 ปี
- PV = 10,000 บาท
- r = 5% = 0.05
- n = 3 ปี
แทนค่าในสูตร:
FV = 10,000 (1 + 0.05)^3 FV = 10,000 (1.05)^3 FV = 10,000 (1.157625) FV = 11,576.25 บาท
ดังนั้น ณ สิ้นปีที่ 3 คุณจะมีเงินในบัญชี 11,576.25 บาท
วิธีที่ 2 ใช้ กฎ 72 เป็นวิธีลัดที่ช่วยให้เราประมาณการได้คร่าวๆ ว่า เงินลงทุนของเราจะใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเพิ่มเป็นสองเท่า โดยใช้สูตรง่ายๆ ดังนี้
72 / อัตราผลตอบแทน (เป็นเปอร์เซ็นต์) = ระยะเวลาโดยประมาณ (เป็นปี)
ตัวอย่าง: อยากรู้ว่าเงินจะเพิ่มเป็นสองเท่าในกี่ปี
สมมติว่าคุณลงทุนในกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี
นำ 72 หารด้วย 8 (อัตราผลตอบแทน) จะได้ 9 อย่างไรก็ตามการใช้กฏนี้ควรใช้ ในการคำนวณคร่าวๆเท่านั้น
เทคนิคการใช้ประโยชน์จาก ดอกเบี้ยทบต้น ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การทบต้นเปรียบเสมือนเครื่องมือวิเศษที่ช่วยให้เงินงอกเงยอย่างมหาศาล แต่การจะใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ ต้องอาศัยเทคนิคและความเข้าใจ ดังนี้
1. การลงทุนระยะยาว: ปล่อยให้เวลาเป็นตัวช่วย
ยิ่งลงทุนนานเท่าไหร่ พลังของการทบต้นก็ยิ่งแสดงผลชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ลองนึกภาพก้อนหิมะที่กลิ้งลงมาจากยอดเขา ยิ่งกลิ้งนาน ก้อนหิมะก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การลงทุนระยะยาวช่วยให้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้รับ ทบกันไปเรื่อยๆ จนเติบโตเป็นกอบเป็นกำ
- ตัวอย่างการลงทุนระยะยาว:
- หุ้น: แม้จะมีความเสี่ยง แต่ในระยะยาว หุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น
- กองทุนรวม: เป็นทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยง และมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแล
- อสังหาริมทรัพย์: เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโด มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นในระยะยาว
2. การออมเงินอย่างสม่ำเสมอ: วินัยนำมาซึ่งความมั่งคั่ง
การออมเงินอย่างสม่ำเสมอเปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้กับเครื่องจักรการทบต้น ยิ่งเติมมาก เครื่องจักรก็ยิ่งทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เทคนิคการออมเงิน:
- ตั้งเป้าหมายการออม: เช่น ต้องการมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ภายใน 10 ปี
- หักเงินออมอัตโนมัติ: ทุกเดือน เมื่อเงินเดือนออก ให้หักเงินเข้าบัญชีเงินออมทันที
- นำเงินโบนัสไปลงทุนต่อ: อย่าใช้จ่ายเงินโบนัสทั้งหมด แต่ให้นำส่วนหนึ่งไปลงทุนเพื่อเพิ่มพูนเงินต้น
3. การเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม: เลือกให้ตรงกับเป้าหมาย
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินแต่ละชนิด มีข้อดี ข้อเสีย และผลตอบแทนที่แตกต่างกัน การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตัวเอง จะช่วยให้ใช้ประโยชน์จากการทบต้นได้อย่างเต็มที่
- ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทางการเงิน:
- เงินฝาก: มีความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนก็ต่ำเช่นกัน
- สลากออมสิน: มีโอกาสถูกรางวัล แต่ผลตอบแทนเฉลี่ยน้อยกว่าเงินฝาก
- ประกันชีวิต: นอกจากจะให้ผลตอบแทนแล้วยังให้ความคุ้มครองชีวิตอีกด้วย
ดอกเบี้ยทบต้นจากเงินเฟ้อ
อาจฟังดูแปลกๆ เพราะปกติเรามักนึกถึงการทบต้นในแง่ของการลงทุน แต่จริงๆ แล้วเงินเฟ้อก็มีผลกระทบต่อเงินออมของเราในลักษณะ “การทบต้นแบบผกผัน” ได้เช่นกัน
มาทำความเข้าใจกัน
- เงินเฟ้อ: คือ ภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ “อำนาจซื้อ” ของเงินลดลง เช่น เมื่อก่อนข้าวแกงจานละ 40 บาท เงินเฟ้อทำให้ราคาข้าวแกงขึ้นเป็น 50 บาท เงิน 40 บาทเท่าเดิมจึงซื้อข้าวแกงไม่ได้อีกต่อไป
- การทบต้นแบบผกผัน: เงินเฟ้อกัดกร่อนมูลค่าของเงินออม ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผลกระทบก็ยิ่งทวีคูณ เหมือนการทบต้นที่ทำให้เงินต้นลดลงเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
สมมติว่าคุณมีเงินเก็บ 10,000 บาท และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ต่อปี
- ปีแรก: เงิน 10,000 บาทของคุณจะมีมูลค่าลดลงเหลือ 9,700 บาท (10,000 – (10,000 x 3%))
- ปีที่สอง: มูลค่าเงินจะลดลงต่อเนื่องจาก 9,700 บาท เหลือ 9,409 บาท (9,700 – (9,700 x 3%))
- ปีที่สาม: มูลค่าเงินจะลดลงอีก เหลือ 9,127 บาท (9,409 – (9,409 x 3%))
จะเห็นได้ว่า เงินเฟ้อทำให้มูลค่าเงินต้นลดลงเรื่อยๆ เหมือนกับโดน “ดอกเบี้ยทบต้น” ในทางลบ ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ เงินก็ยิ่งมีค่าลดลงมากเท่านั้น
ดอกเบี้ยทบต้นจากหนี้สิน
การทบต้น แม้จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความมั่งคั่ง แต่มันก็เป็นดาบสองคมที่สามารถทำให้เราจมดิ่งสู่ห้วงหนี้สินได้เช่นกัน หากเราไม่เข้าใจและไม่ระมัดระวังในการใช้
กลไกการทบต้นกับหนี้สิน
เมื่อเรากู้ยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อบ้าน หากเราไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา ดอกเบี้ยก็จะถูกคิดคำนวณจากยอดหนี้คงค้าง และนำไปรวมกับเงินต้น ทำให้ยอดหนี้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ ยอดหนี้ก็ยิ่งบานปลายมากขึ้นเท่านั้น เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งลงมาจากยอดเขา ยิ่งกลิ้งนาน ก้อนก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาระอันหนักอึ้ง
ตัวอย่างสถานการณ์
สมมติว่าคุณมียอดค้างชำระบัตรเครดิต 10,000 บาท และอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 18% ต่อปี
- เดือนแรก: หากคุณไม่ชำระเลย ดอกเบี้ยจะถูกคิดเป็น 150 บาท (10,000 x 18% / 12 เดือน) ทำให้ยอดหนี้เพิ่มเป็น 10,150 บาท
- เดือนที่สอง: ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากยอดหนี้ใหม่ 10,150 บาท ทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นอีก กลายเป็น 10,302 บาท
- เดือนที่สาม: ยอดหนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10,456 บาท และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือนที่คุณไม่ชำระ
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่ 3 เดือน ยอดหนี้ก็เพิ่มขึ้นกว่า 450 บาท โดยที่คุณไม่ได้ใช้จ่ายอะไรเพิ่มเลย นี่คือ ผลกระทบของการทบต้นที่ทำให้หนี้สินเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว
วิธีป้องกันและแก้ไข
- ชำระหนี้ให้ตรงเวลา: วินัยในการชำระหนี้เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งชำระเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดภาระดอกเบี้ยได้มากเท่านั้น
- ชำระมากกว่าขั้นต่ำ: หากมีกำลัง ควรชำระหนี้มากกว่ายอดขั้นต่ำที่กำหนด เพื่อลดต้นลดดอก และปลดหนี้ได้เร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม่: ก่อนตัดสินใจกู้ยืม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และวางแผนการเงินให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้สินเกินตัว
- รีไฟแนนซ์หนี้: หากมีหนี้สินหลายก้อน อาจพิจารณารีไฟแนนซ์ เพื่อรวมหนี้ และลดอัตราดอกเบี้ย
- ขอความช่วยเหลือ: หากมีปัญหาในการชำระหนี้ อย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรติดต่อสถาบันการเงิน เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอคำปรึกษา
พลังการทบต้นจากหนี้สิน เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินในระยะยาว การเข้าใจกลไกของมัน และการมีวินัยทางการเงิน จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้สิน และสร้างความมั่นคงทางการเงินได้
ดอกเบี้ยทบต้นกับการกู้ยืมเงิน
การกู้ยืมเงินเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะ พลังของการทบต้น สามารถทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่เข้าใจกลไกและวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ
ทำความเข้าใจกลไกการทบต้นกับการกู้ยืม
เมื่อเรากู้ยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นจากธนาคาร บริษัทสินเชื่อ หรือแม้กระทั่งบุคคล ดอกเบี้ยคือค่าตอบแทนที่ผู้ให้กู้เรียกเก็บจากการให้เรายืมเงินจำนวนนั้น โดยดอกเบี้ยจะถูกคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) ของเงินต้นที่เรากู้ยืม
- ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Interest Rate): อัตราดอกเบี้ยจะคงที่ตลอดระยะเวลาสัญญา
- ดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Interest Rate): อัตราดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงไปตามดัชนีอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย
การทบต้น จะเกิดขึ้นเมื่อดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในแต่ละงวด ถูกนำไปรวมกับเงินต้น แล้วนำเงินรวมนั้นมาคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไป ทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ ยอดหนี้ก็ยิ่งบานปลายมากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างสถานการณ์
สมมติว่าคุณกู้เงิน 100,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี แบบทบต้นทุกเดือน
- เดือนแรก: ดอกเบี้ยจะถูกคิดเป็น 583.33 บาท (100,000 x 7% / 12 เดือน) ทำให้ยอดหนี้เพิ่มเป็น 100,583.33 บาท
- เดือนที่สอง: ดอกเบี้ยจะถูกคิดจากยอดหนี้ใหม่ 100,583.33 บาท ทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นอีก กลายเป็น 101,170.83 บาท
- เดือนที่สาม: ยอดหนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 101,762.50 บาท และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกเดือน
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนกู้ยืมเงิน
- ความจำเป็น: พิจารณาว่าการกู้ยืมนั้นมีความจำเป็นจริงๆ หรือไม่ มีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องก่อหนี้หรือไม่
- อัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากหลายๆ แห่ง เลือกอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ระยะเวลา: เลือก ระยะเวลาการผ่อนชำระที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้
- ค่าธรรมเนียม: ศึกษาค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมการชำระล่าช้า
- ความสามารถในการชำระหนี้: ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ ให้แน่ใจว่าสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
เทคนิคการจัดการหนี้
- ชำระหนี้ให้ตรงเวลา: เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับ และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
- ชำระมากกว่าขั้นต่ำ: หากมีกำลัง ควรชำระหนี้มากกว่ายอดขั้นต่ำที่กำหนด เพื่อลดต้นลดดอก และปลดหนี้ได้เร็วขึ้น
- รีไฟแนนซ์: พิจารณา รีไฟแนนซ์หนี้ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ย หรือรวมหนี้หลายก้อนให้เป็นก้อนเดียว
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีปัญหาในการจัดการหนี้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน เพื่อขอคำแนะนำ
การเข้าใจกลไกของการทบต้น และการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ จะช่วยให้เราใช้ประโยชน์จากการกู้ยืม และหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นได้ อ่านเพิ่มเติม